บริษัท ของ ช่อง 7HD

บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (อังกฤษ: Bangkok Broadcasting & Television Co., Ltd; ชื่อย่อ: บีบีทีวี, BBTV) จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นด้วยทุน 10,000,000 บาท เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2510 เพื่อประกอบธุรกิจโฆษณา ขณะที่ปัจจุบัน (พ.ศ. 2556) มีทุนจดทะเบียนที่ 61,000,000 บาท โดยมีรายชื่อผู้ก่อตั้งประกอบด้วย คุณหญิงไสว จารุเสถียร (คำนำหน้าชื่อขณะนั้น; ภริยาจอมพล ประภาส จารุเสถียร), เรวดี เทียนประภาส (น้องสาวคุณหญิงไสว), ร้อยเอกชูศักดิ์ บุณยกะลิน, เฑียร์ กรรณสูต (น้องชายสุชาติ กรรณสูต สามีของเรวดี ซึ่งเสียชีวิตตั้งแต่ พ.ศ. 2501), ชาติเชื้อ กรรณสูต (บุตรชายคนโต), ร้อยโทชายชาญ กรรณสูต (ยศขณะนั้น; บุตรชายคนที่สอง เปลี่ยนมาใช้นามสกุลฝ่ายแม่เมื่อ พ.ศ. 2517) และสุรางค์ เปรมปรีดิ์ (บุตรสาวคนเล็ก) ซึ่งคณะผู้ก่อตั้งมอบหมายให้สมภพ ศรีสมวงศ์ (ปัจจุบันชื่อสหสมภพ) เป็นผู้ยื่นขอจดทะเบียนบริคณห์สนธิ กับกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) จากนั้นมีการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 22 กันยายน ซึ่งมีมติแต่งตั้งให้คุณหญิงไสว เป็นประธานกรรมการบริษัท ส่วนเฑียร์, ชาติเชื้อ กับร้อยโทชายชาญ เป็นกรรมการบริษัท ทั้งสี่ถือหุ้นจำนวน 100 หุ้นเท่ากัน, ชวน รัตนรักษ์ ผู้บริหารธนาคารกรุงศรีอยุธยา เป็นรองประธานกรรมการ ถือ 50 หุ้น, เรวดีเป็นกรรมการผู้จัดการ ถือ 230 หุ้น และร้อยเอกชูศักดิ์ เป็นกรรมการบริษัท ถือ 20 หุ้น[2]

ในปี พ.ศ. 2511 ผู้ถือหุ้นมีมติให้เฑียร์ ลาออกจากตำแหน่ง กรรมการบริษัท, หัวหน้าฝ่ายรายการ และหัวหน้าฝ่ายเทคนิค โดยแต่งตั้งให้สุรางค์ เปรมปรีดิ์ เข้าเป็นกรรมการแทน พร้อมถือ 80 หุ้น[2] ในวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2513 เรวดี และร้อยเอกชูศักดิ์ เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผู้ถือหุ้นมีมติแต่งตั้งให้ชาติเชื้อรักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ จากนั้นในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 ชาติเชื้อขอลาออก ผู้ถือหุ้นจึงมีมติให้ร้อยเอกชายชาญ เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ แล้วแต่งตั้งให้ไพโรจน์ เปรมปรีดิ์ สามีของสุรางค์ ที่มีอยู่ 20 หุ้น เป็นกรรมการบริษัท และในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2517 ท่านผู้หญิงไสวลาออกจากกรรมการบริษัท ชวนจึงขยับขึ้นเป็นประธานกรรมการแทน และให้ร้อยเอกหญิงสุมิตรา จารุเสถียร บุตรสาวท่านผู้หญิงไสว ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการที่ว่าง[2]

เนื่องจากความต้องการของช่อง 7 สี ที่ต้องการจะขยายสถานีส่งสัญญาณออกไปสู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ แต่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากกว่า 300 ล้านบาท จึงทำให้เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2522 บริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 50 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งใช้วิธีขายหุ้นเพิ่มทุน ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ เป็นจำนวน 10 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่งให้ประธานกรรมการ (ชวน รัตนรักษ์) และกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ดำเนินการตามที่เห็นสมควร เป็นจำนวน 30 ล้านบาท และให้ลดมูลค่าต่อหุ้นลงเหลือ 100 บาท เมื่อรวมกับการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกครั้ง เป็นจำนวน 61,000,000 บาท[3] เมื่อปี พ.ศ. 2527 จึงทำให้ในที่สุด สกุลรัตนรักษ์ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบีบีทีวีแทนกลุ่มสกุลจารุเสถียร กรรณสูต และเทียนประภาส[2]

พันโทชายชาญ ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนขนาด 11 มิลลิเมตร ยิงจนเสียชีวิตที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2523 ส่งผลให้ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการว่างลง ผู้ถือหุ้นมีมติให้จัดตั้งคณะกรรมการผู้จัดการขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในความรับผิดชอบของกรรมการผู้จัดการ โดยมีไพโรจน์เป็นประธาน คณะกรรมการชุดดังกล่าว และมีกรรมการคือพิสุทธิ์ ตู้จินดา, สมภพ ศรีสมวงศ์, ร้อยเอกสุพจน์ แสงสายัณห์, ชัชฎาภรณ์ รักษนาเวศ (อดีตนักร้องชื่อดัง ผู้เป็นภรรยาซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรส ของพันโทชายชาญ) และวีระพันธ์ ทีปสุวรรณ ซึ่งเป็นญาติของสกุลรัตนรักษ์ ซึ่งวีระพันธ์เข้ามารับตำแหน่งกรรมการบริษัทที่ว่างลงด้วย ทว่าต่อมาไม่นาน ระบบคณะกรรมการผู้จัดการก็ยกเลิกไป โดยผู้ถือหุ้นแต่งตั้งให้ไพโรจน์เป็นกรรมการผู้จัดการแต่เพียงผู้เดียว[2] จากนั้นในปี พ.ศ. 2524 ชาติเชื้อกลับเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการอีกครั้ง พร้อมทั้งให้น้องสาวคือสุรางค์เข้ามาช่วยงานด้วย ซึ่งเป็นผลให้ช่อง 7 สีประสบความสำเร็จอย่างสูงในระยะต่อมา และเมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2536 ชวนก็เสียชีวิตลง บุตรชายคือกฤตย์ รัตนรักษ์ ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทมาตั้งแต่ พ.ศ. 2513 จึงขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการแทนบิดา

อนึ่ง ในช่วงปลายพุทธทศวรรษ 2530 ชาติเชื้อล้มป่วยด้วยอาการอัมพาต จนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่มาหลายปี ในที่สุดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 สุรางค์จึงต้องรับตำแหน่งแทนพี่ชาย โดยที่ยังเป็นผู้จัดการฝ่ายข่าว (พ.ศ. 2541 - 2545) และผู้จัดการฝ่ายรายการ (พ.ศ. 2524 - 2551) อยู่ด้วย[2] และสุรางค์ก็ดำรงตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 14 ปี ก่อนที่กฤตย์จะลงนามในคำสั่งให้สุรางค์พ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554 และให้ส่งมอบงานแก่ศรัณย์ วิรุตมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการไปบริหารต่อภายในวันที่ 30 ธันวาคม และให้ศรัณย์เริ่มเข้ารักษาการกรรมการผู้จัดการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555[4] ต่อมาในเดือนเมษายนปีเดียวกัน ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติให้แต่งตั้งพลากร สมสุวรรณ อดีตพิธีกรของช่อง 7 สี ขึ้นเป็นว่าที่กรรมการผู้จัดการแทนสุรางค์ ซึ่งเป็นการพ้นจากตำแหน่งสุดท้ายในบริษัท พร้อมทั้งมอบหมายให้พลากรเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และรักษาการในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายรายการด้วย[5] จากนั้นพลากรก็ขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการแทนศรัณย์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2556[6] จนกระทั่งเกษียณการทำงานเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560 ผู้ถือหุ้นจึงแต่งตั้ง สมเกียรติ เจริญภิญโญยิ่ง ให้ดำรงตำแหน่งรักษาการกรรมการผู้จัดการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2561[7] ก่อนที่ในวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2562 กฤตย์จะลงนามตามมติผู้ถือหุ้นให้แต่งตั้ง ดร.เยาวลักษณ์ พูลทอง ที่ปรึกษาคณะกรรมการเจ้าหน้าที่บริหารให้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ปีเดียวกันเป็นต้นมา[8] แต่ต่อมาในปลายปี พ.ศ. 2563 ดร.เยาวลักษณ์ได้ลาออกจากตำแหน่ง ผู้ถือหุ้นจึงแต่งตั้ง พัฒนพงค์ หนูพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการ และรักษาการผู้จัดการฝ่ายธุรกิจโฆษณา ให้ดำรงตำแหน่งรักษาการกรรมการผู้จัดการเพิ่มอีก 1 ตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม ปีเดียวกันเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน[9]